ตัวเลขที่กล้อง เช่น 10 x 40 บางครั้งมีอักษร เช่น B หรือ GA            
              1. ตัวเลขแรก แสดงถึง กำลังขยายภาพที่มอง กำลังเป็เท่า จากระยะห่างของวัตถุ มีตัวเลขเป็น 7x, 8x, 9x หรือ 10x   เช่น ในวัตถุที่ไกลออกไประยะ 100 เมตร ใช้กล้องกำลังขยาย 7 เท่า (7x)  จะเท่ากับดูด้วยตาเปล่าห่างจากวัตถุนั้น 14 เมตร

              2. ตัวเลขตัวหลัง แสดงถึง เส้นผ่าศูนย์กลางของเลนส์ใกล้วัตถุ มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร โดยปกติความกว้างของเลนส์มากเท่าไร ภาพที่เห็นก็จะสว่างมากขึ้นเท่านั้น ขนาดของกล้องจะเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่กับเลขตัวหลังนี้          

              B     หมายถึง  การออกแบบของเลนส์ใกล้ตา (Eyepiece lens) ส่วนมากมียางหุ้ม (eyecups) พับได้เหมาะสำหรับคนใส่แว่น          
             GA   หมายถึง  ตัวกล้องที่หุ้มด้วยยาง กันกล้องกระทบกับสิ่งอื่น บางโรงงานใช้
             BA   ผู้ผลิตที่มีคุณภาพบางราย อาจเติมอักษร T หรือ N บอกถึงความพิเศษของผลิตภัณฑ์ในความหมายเกี่ยวกับการเคลือบเลนส์  
                     หรือ การโฟกัสระยะใกล้ (Close focusing)

              3. รูรับแสง (exit pupil) ของเลนส์หาได้จาก

                             รูรับแสง    =   ขนาดของเลนส์ใกล้วัตถุ
                                                   กำลังขยาย 

                    เช่น กล้องขนาด 7x35 จะมีขนาดรูรับแสงเท่ากับ 6 มม. ซึ่งเท่ากับรูรับแสงของกล้องขนาด 10x50 เช่นกัน รูรับแสงบอกให้รู้ว่ากล้องอันนั้นใช้งานในที่แสงน้อยได้ดีหรือไม่ เพราะเป็นความกว้างของลำแสงจากภาพที่ดูผ่านตัวกล้องออกมา ในที่สว่างหรือเวลากลางวัน ขนาดของรูรับแสงไม่มีผลมากต่อการมองเห็น แต่ถ้าในที่ร่มหรือแสงน้อยจะมีผลชัดเจนขึ้น ขึ้นอยู่กับขนาดของรูรับแสงและม่านตาของเราขณะนั้นเป็นอย่างไร รูม่านตาของคนเราปรับให้มีขนาดเล็กใหญ่ตามความสว่างของแสงที่ผ่านเข้ามา ตั้งแต่ 2 - 7 มม.  เพื่อให้เราเห็นภาพได้สว่างพอดีและป้องกันจอรับภาพในลูกตาไม่ให้เกิดอันตรายจากแสงสว่างมากเกินไป


กล้อง Binoc แบบ Porro Prism เป็นกล้องที่มีมานานแล้ว เราสามารถสังเกตว่าเป็นกล้องชนิดนี้ได้ง่าย ๆ จากการที่เลนส์วัตถุหรือเลนส์ด้านหน้าของกล้องที่มีขนาดใหญ่กว่า ตั้งอยู่ในแนวที่เยื้องกับเลนส์ตา กล้องชนิดนี้เป็นกล้องที่การพัฒนามาอย่างยาวนาน จึงมีคุณภาพดีถึงดีมาก แข็งแรง ซ่อมแซมง่าย และยังมีราคาถูกเนื่องจากสร้างได้ง่าย ข้อเสียคือมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก อีกทั้งมักจะมีรูปร่างไม่ค่อยสวยงาม จึงไม่เป็นที่นิยมของนักดูนกที่จำเป็นต้องสะพายกล้องเป็นเวลานานๆ

กล้อง Binoc แบบ Roof Prism เป็นกล้องที่ได้รับการพัฒนามาในช่วงหลัง จากการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการออกแบบ จึงได้ Prism ที่มีขนาดเล็กลง กะทัดรัด กล้องชนิดนี้ตัวเลนส์วัตถุจะเป็นแนวเส้นตรงกับเลนส์ตา ทำให้กล้องมีลักษณะเป็นท่อตรง คุณภาพของกล้องประเภทนี้จะดีมาก เนื่องจากมักจะเป็นกล้องระดับโปรของผู้ผลิต น้ำหนักเบาเหมาะกับการสะพายนานๆ แต่มักจะมีราคาแพง และไม่แข็งแรงเท่ากล้องแบบ Porro Prism ถ้ามีปัญหาจะซ่อมแซมได้ยากกว่า

เทเลสโคป (Telescope) เป็นกล้องส่องทางไกลอีกชนิดหนึ่ง มีกำลังขยายมากกว่ากล้อง Binoc มักจะมีกำลังขยายมากกว่า 15 เท่าขึ้นไป มีเลนส์เพียงชุดเดียว จึงมองเห็นด้วยตาเพียงข้างเดียว ด้วยกำลังขยายที่มาก กล้องชนิดนี้จึงจำเป็นต้องใช้ร่วมกับขาตั้งกล้องจึงทำให้พกพาลำบาก และมักมีราคาแพงกว่ากล้อง Binoc การใช้งานก็จำกัดกว่า ดังนั้นเราควรจะซื้อเมื่อมีความพร้อม ถ้ามีงบเพียงพอก็ควรจะมีสัก 1 ตัว เพราะจะทำให้เราเห็นภาพนกได้ใกล้ขึ้น ชัดเจนขึ้น จนทำให้บางคนชอบการดูนกจากเทเลสโคปมากกว่าจากกล้อง Binoc เพราะเห็นรายละเอียดชัดเจนกว่า เช่น นกชายเลนจำเป็นต้องใช้เทเลสโคปมาก เพราะนกจะอยู่ไกลและนกแต่ละชนิดมีรายละเอียดใกล้เคียงกัน



 [กลับสู่ด้านบน]